สำนักงานกฎหมาย KNInterlaw

พันธมิตรทางธุรกิจกับนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

หลายท่าน คงเคยอ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งหนึ่งในหัวข้อสำคัญที่มักถูกพูดถึงคือ การเปิดเผย หรือการแบ่งปันข้อมูลให้กับ “พันธมิตรทางธุรกิจ” ซึ่งบางที่ก็ไม่ได้ระบุว่าพันธมิตรทางธุรกิจคือใคร ในขณะที่บางที่ก็ระบุอย่างชัดเจนว่าพันธมิตรทางธุรกิจคือใครบ้าง บทความนี้ เราจะมาวิเคราะห์ว่าแบบไหนถึงจะเป็นการเขียนนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ชัดเจน

แบบนี้หลายท่านอาจพบในนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกรณีที่อาจมีการเผยแพร่ข้อมูลให้กับพันธมิตรทางธุรกิจแต่ไม่ระบุว่าพันธมิตรทางธุรกิจคือใคร ไม่มีระบุชื่อของพันธมิตรทางธุรกิจ  เพียงแค่กล่าวลอย ๆ  ซึ่งแบบนี้ผู้เขียนไม่สนับสนุนเพราะไม่มีความชัดเจน และมีความคลุมเครือในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลอย่างมาก

ตัวอย่างแบบนี้ส่วนมากมักจะใช้ในกรณีมีพันธมิตรทางธุรกิจไม่มากนัก และต้องการแยกให้ชัดว่าพันธมิตรทางธุรกิจใดประมวลผลข้อมูลส่วนใด

เราและพันธมิตรทางธุรกิจของเรา ได้แก่ ………………………………………………………ดำเนินการประมวลผลข้อมูล จัดเก็บ และเข้าถึงข้อมูลที่ไม่ละเอียดอ่อนจากอุปกรณ์ของคุณเช่นคุกกี้และประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเช่นที่อยู่ IP สำหรับการประมวลผลข้อมูลเช่นการแสดงโฆษณาส่วนบุคคลการวัดความต้องการของผู้เยี่ยมชมของเรา คุณสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าได้ตลอดเวลา ในนโยบายคุกกี้ของเรา

หากมีพันธมิตรทางธุรกิจจำนวนมาก สามารถระบุกดเข้าไปเพื่อดูรายชื่อพันธมิตรทางธุรกิจได้

เราและพันธมิตรทางธุรกิจของเรา ดำเนินการประมวลผลข้อมูล จัดเก็บ และเข้าถึงข้อมูลที่ไม่ละเอียดอ่อนจากอุปกรณ์ของคุณเช่นคุกกี้และประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเช่นที่อยู่ IP สำหรับการประมวลผลข้อมูลเช่นการแสดงโฆษณาส่วนบุคคลการวัดความต้องการของผู้เยี่ยมชมของเรา คุณสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าได้ตลอดเวลา ในนโยบายคุกกี้ของเรา

                                          ดูรายชื่อ พันธมิตรทางธุรกิจของเรา (คลิก)

อีกวิธีหนึ่ง คือการตั้งค่าความยินยอม ให้ผู้ใช้สามารถเลือกบล็อก หรืออนุญาสำหรับพันธมิตรทางธุรกิจบางราย หรือทุกราย หรือตามรายชื่อทีละรายการ โดยการคลิกที่ชื่อพันธมิตรเพื่ออนุญาตให้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของ และมีปุ่มข้ามไปที่ “อนุญาตทั้งหมด” ก็ได้ ตัวอย่าง เช่น

รายชื่อพันธมิตรทางธุรกิจ บล็อค อนุญาต
ABC
DEF
บล็อคทั้งหมด
บล็อคทั้งหมด

จาก 4 แบบที่ผู้เขียนเคยพบเห็นการเขียนนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลผู้เขียนมีความเห็นส่วนตัวว่าการเขียนแบบที่ 2 3 และ 4 เป็นแบบที่ชัดเจน และละเอียดมากที่สุด โดยการจะใช้รูปแบบไหนขึ้นอยู่กับหัวข้อที่ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล

หากเป็นกรณีที่ไม่ต้องอาศัยความยินยอม ก็ใช้แบบที่ 2 และ 3 ได้ ซึ่งแบบนี้ทำให้ เจ้าของข้อมูลสามารถทราบได้ว่าข้อมูลส่วนบุคคลของตนจะถูกใช้ประมวลผลหรือเปิดเผยให้แก่ใครบ้าง

แต่หากเป็นกรณีที่ต้องขอความยินยอม การใช้แบบที่ 4 จะช่วยยังทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ผู้ใดประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลได้บ้าง ซึ่งจะตรงกับวัตถุประสงค์ของกฎหมายที่ต้องการให้เจ้าของข้อมูลสามารถเลือกให้ความยินยอมได้ และที่สำคัญยังทำให้เจ้าของข้อมูลสามารถจัดการกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองได้ หากเจ้าของข้อมูลไม่ประสงค์ให้พันธมิตรทางธุรกิจบางรายชื่อประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของตนในกรณีแบบนี้เจ้าของข้อมูลก็สามารถที่จะจัดการกับการประมวลผลเหล่านั้นได้เลย แต่ในทางตรงกันข้าม หากไม่ให้เจ้าของข้อมูลเลือก สิ่งที่เจ้าของข้อมูลทำได้ก็คงเป็นการไม่ให้ความยินยอมในการประมวลผลเลย หรือไม่ใช้บริการกับตัวผู้ควบคุมข้อมูลเหล่านั้นด้วยเหตุผลเพียงเพราะไม่อยากให้ผู้ประมวลผลซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจบางรายประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของตนกรณีแบบนี้อาจจะส่งผลเสียต่อตัวผู้ควบคุมข้อมูลพอทำให้เสียฐานลูกค้าในการประมวลผลข้อมูลได้  

เรามีบริการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย และให้คำปรึกษาแก่ท่านเกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หากท่านสนใจสามารถติดต่อเราได้ที่ Tel: 065-9554299 E-mail: KN.Interlaw@gmail.com

ท่านสามารถแชร์ความรู้, บทความและคำพิพากษาได้ที่นี่
  •  
  •  
  •  
error: Content is protected !!