admin

พันธมิตรทางธุรกิจกับนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

หลายท่าน คงเคยอ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งหนึ่งในหัวข้อสำคัญที่มักถูกพูดถึงคือ การเปิดเผย หรือการแบ่งปันข้อมูลให้กับ “พันธมิตรทางธุรกิจ” ซึ่งบางที่ก็ไม่ได้ระบุว่าพันธมิตรทางธุรกิจคือใคร ในขณะที่บางที่ก็ระบุอย่างชัดเจนว่าพันธมิตรทางธุรกิจคือใครบ้าง บทความนี้ เราจะมาวิเคราะห์ว่าแบบไหนถึงจะเป็นการเขียนนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ชัดเจน แบบที่ 1 ไม่ระบุรายชื่อพันธมิตรทางธุรกิจในนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แบบนี้หลายท่านอาจพบในนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกรณีที่อาจมีการเผยแพร่ข้อมูลให้กับพันธมิตรทางธุรกิจแต่ไม่ระบุว่าพันธมิตรทางธุรกิจคือใคร ไม่มีระบุชื่อของพันธมิตรทางธุรกิจ  เพียงแค่กล่าวลอย ๆ  ซึ่งแบบนี้ผู้เขียนไม่สนับสนุนเพราะไม่มีความชัดเจน และมีความคลุมเครือในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลอย่างมาก แบบที่ 2 ระบุรายชื่อพันธมิตรทางธุรกิจลงไปในเนื้อหาของนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตัวอย่างแบบนี้ส่วนมากมักจะใช้ในกรณีมีพันธมิตรทางธุรกิจไม่มากนัก และต้องการแยกให้ชัดว่าพันธมิตรทางธุรกิจใดประมวลผลข้อมูลส่วนใด เราและพันธมิตรทางธุรกิจของเรา ได้แก่ ………………………………………………………ดำเนินการประมวลผลข้อมูล จัดเก็บ และเข้าถึงข้อมูลที่ไม่ละเอียดอ่อนจากอุปกรณ์ของคุณเช่นคุกกี้และประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเช่นที่อยู่ IP สำหรับการประมวลผลข้อมูลเช่นการแสดงโฆษณาส่วนบุคคลการวัดความต้องการของผู้เยี่ยมชมของเรา คุณสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าได้ตลอดเวลา ในนโยบายคุกกี้ของเรา แบบที่ 3 ระบุรายชื่อพันธมิตรทางธุรกิจโดยให้ผู้เข้าชม สามารถคลิกเข้าไปดูรายชื่อทั้งหมดได้ หากมีพันธมิตรทางธุรกิจจำนวนมาก สามารถระบุกดเข้าไปเพื่อดูรายชื่อพันธมิตรทางธุรกิจได้ เราและพันธมิตรทางธุรกิจของเรา ดำเนินการประมวลผลข้อมูล จัดเก็บ และเข้าถึงข้อมูลที่ไม่ละเอียดอ่อนจากอุปกรณ์ของคุณเช่นคุกกี้และประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเช่นที่อยู่ IP สำหรับการประมวลผลข้อมูลเช่นการแสดงโฆษณาส่วนบุคคลการวัดความต้องการของผู้เยี่ยมชมของเรา คุณสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าได้ตลอดเวลา ในนโยบายคุกกี้ของเรา                 …

พันธมิตรทางธุรกิจกับนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล Read More »

ท่านสามารถแชร์ความรู้, บทความและคำพิพากษาได้ที่นี่
  •  
  •  
  •  
ขั้นตอนการทวงหนี้

ขั้นตอนการทวงหนี้

ตามพระราชบัญญัติ การทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 หมายความว่า เจ้าหนี้ซึ่งเป็นผู้ให้สินเชื่อผู้ประกอบธุรกิจตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค ผู้จัดให้มีการเล่นการพนันเป็นปกติธุระตามกฎหมายว่าด้วยการพนัน และเจ้าหนี้อื่นซึ่งมีสิทธิรับชำระหนี้อันเกิดจากการกระทำที่เป็นทางการค้าปกติหรือเป็นปกติธุระของเจ้าหนี้ ทั้งนี้ไม่ว่าหนี้ดังกล่าวจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม และให้หมายรวมถึง ผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้ดังกล่าว ผู้รับมอบอำนาจช่วงในการทวงถามหนี้ ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ และผู้รับมอบอำนาจจากผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ด้วย การปฏิบัติงานทวงถามหนี้ จะมีขั้นตอน ดังนี้ 1. ผู้ทวงถามหนี้จะต้องติดต่อกับลูกหนี้โดยตรงหรือบุคคลซึ่งลูกหนี้ได้ระบุไว้เพื่อการทวงถามหนี้เท่านั้น โดยจะต้องแจ้งให้ลูกหนี้ทราบดังนี้ (1) แจ้งชื่อ – นามสกุล (2) แจ้งชื่อหน่วยงานของตนและของเจ้าหนี้ (3) แจ้งจำนวนหนี้ที่ค้างชำระให้ถูกต้องครบถ้วน(4) ในกรณีเป็นผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้ จะต้องแสดงหนังสือมอบอำนาจให้กับลูกหนี้ทราบก่อนจะทวงหนี้ ทั้งนี้จะแสดงให้กับบุคคลอื่นไม่ได้ เพราะจะเป็นการแจ้งหรือเปิดเผยเกี่ยวกับความเป็นหนี้ของลูกหนี้ให้แก่บุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเป็นหนี้ 2. กรณีประกอบธุกิจทวงถามหนี้ จะต้องจดทะเบียนการประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ต่อนายทะเบียน ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง หากฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติจะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 3. การติดต่อกับบุคคลอื่นที่มิใช่ลูกหนี้ ผู้ทวงถามหนี้ทำได้เพียงสอบถามหรือยืนยันเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยหรือเบอร์โทรศัพท์ของลูกหนี้หรือสถานที่ติดต่อเท่านั้น ไม่สามารถเปิดเผยเกี่ยวกับความเป็นหนี้ของลูกหนี้ให้แก่บุคคลอื่นได้ เว้นแต่บุคคลอื่นนั้นเป็นสามี ภริยา บุพการีหรือผู้สืบสันดานของลูกหนี้ ได้สอบถามถึงสาเหตุของการติดต่อ สามารถเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับหนี้ได้เท่าที่จำเป็นและตามความเหมาะสมเท่านั้น หากฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติจะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 4. การทวงถามหนี้สามารถติดต่อตามสถานที่ที่ลูกหนี้ให้ไว้เท่านั้น …

ขั้นตอนการทวงหนี้ Read More »

ท่านสามารถแชร์ความรู้, บทความและคำพิพากษาได้ที่นี่
  •  
  •  
  •  
หลักเกณฑ์การโฆษณาอาหาร

ประกาศคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง หลักเกณฑ์การโฆษณาอาหาร พ.ศ.2564

ประกาศคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง หลักเกณฑ์การโฆษณาอาหาร พ.ศ.2564 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 มีผลบังคับใช้วันที่ 31 มีนาคม 2564 ซึ่งสรุปได้ ดังนี้ 1. ข้อความข้อความที่ใช้โฆษณาต้องไม่มีลักษณะที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค หรืออาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคมเป็นส่วนรวม เช่น 1) ไม่ทำให้เข้าใจว่ามีส่วนผสมใดในของอาหาร ทั้งที่ความจริงไม่มี หรือมีแต่ไม่เท่าที่ทำให้เข้าใจตามที่โฆษณา 2) ไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด หรือความไม่เข้าใจในลักษณะ หรือวิธีการบริโภคอาหาร3) ไม่ก่อให้เกิดความแตกแยกหรือเสื่อมเสียความสามัคคีในหมู่ประชาชน4) ไม่เป็นการสนับสนุนโดยตรงหรือโดยอ้อมให้มีการกระทำผิดกฎหมาย ศีลธรรม หรือนำไปสู่ความเสื่อมเสียในประเพณีและวัฒนธรรมอันดีของชาติ 5) ไม่ก่อให้เกิดพฤติกรรมลอกเลียนแบบที่จะนำมาซึ่งอันตรายหรือความรุนแรง 6) ไม่มีข้อความที่เป็นการแนะนำ รับรอง หรือยกย่องคุณประโยชน์ คุณภาพหรือสรรพคุณของอาหารโดยบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข หรือผู้ที่อ้างตนหรือแสดงตนหรือทำให้เข้าใจว่าเป็นบุคลากรเหล่านั้น7) ไม่เป็นการเปรียบเทียบหรือทับถมผลิตภัณฑ์ของผู้อื่น 2. ข้อความที่ใช้โฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพหรือสรรพคุณของอาหารต้องไม่มีลักษณะที่เป็นเท็จ หรือหลอกลวงให้เกิดความหลงเชื่อ เช่น 1) เป็นเท็จหรือเกินความจริง 2) สื่อหรือแสดงให้เข้าใจว่าสามารถบำบัด บรรเทา รักษา หรือป้องกันโรคความเจ็บป่วย หรืออาการของโรค 3) สื่อหรือแสดงให้เข้าใจว่ามีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของร่างกาย …

ประกาศคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง หลักเกณฑ์การโฆษณาอาหาร พ.ศ.2564 Read More »

ท่านสามารถแชร์ความรู้, บทความและคำพิพากษาได้ที่นี่
  •  
  •  
  •  
กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา

การพิจารณาความคล้ายกันของเครื่องหมายการค้า

การพิจารณาความคล้ายกันของเครื่องหมายการค้า ไม่อาจพิจารณาเฉพาะเพียงแค่ตัวอักษร หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของเครื่องหมายการค้าได้ ในแนวทางการพิจารณาและการตีความของคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์และศาลฎีกา มักจะพิจารณาจากภาพรวมของลักษณะเครื่องหมายการค้า สำเนียงเรียกขานในเครื่องหมายการค้าว่าเหมือนกันหรือคล้ายกันเพียงใด ตลอดจนต้องพิจารณาว่าสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าเป็นสินค้าจำพวกเดียวกัน หรือต่างจำพวก ที่มีลักษณะอย่างเดียวกัน จนอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้าหรือไม่ ประกอบการพิจารณาเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559 มาตรา 13 ซึ่งบัญญัติว่า “มาตรา 13 ภายใต้บังคับมาตรา 27 ในกรณีที่เครื่องหมายการค้าที่ขอจดทะเบียนนั้น นายทะเบียนเห็นว่า (1) เป็นเครื่องหมายการค้าที่เหมือนกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว หรือ (2) เป็นเครื่องหมายการค้าที่คล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว จนอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้า ถ้าเป็นการขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าสำหรับสินค้าจำพวกเดียว หรือต่างจำพวกกัน ที่นายทะเบียนเห็นว่ามีลักษณะอย่างเดียวกัน ห้ามมิให้นายทะเบียนรับจดทะเบียน” จากบทบัญญัติในพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า เครื่องหมายการค้าที่นายทะเบียนจะพิจารณาไม่รับจดทะเบียน เนื่องจากเป็นเครื่องหมายการค้าที่มีความคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่จดทะเบียนไว้แล้ว จะต้องเป็นเครื่องหมายการค้าที่นายทะเบียนเห็นว่า เป็นเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะอย่างเดียวกัน กล่าวคือ เป็นเครื่องหมายการค้าที่ใช้กับสินค้าประเภทเดียวกันหรือคล้ายกัน จนอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของหรือแหล่งกำเนิดสินค้าได้ Line ติดต่อ – สอบถาม E-mail ติดต่อสอบถาม ท่านสามารถแชร์ความรู้, บทความและคำพิพากษาได้ที่นี่   

ท่านสามารถแชร์ความรู้, บทความและคำพิพากษาได้ที่นี่
  •  
  •  
  •  
error: Content is protected !!