เดิมศาลฎีกาเคยตัดสินว่า ถือเป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจ คำพิพากษาศาลฎีกาที่101/2544 วินิจฉัยว่าการที่จำเลยสมยอมชำระดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้แก่โจทก์ ถือได้ว่าเป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจโดยรู้ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 407 จำเลยไม่มีสิทธิได้รับคืนดอกเบี้ยส่วนที่ได้ชำระไปแล้ว และจะนำไปหักกับต้นเงินไม่ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2167/2545 เดินตามแนวเดียวกัน
ต่อมาศาลฎีกากลับหลัก โดยระบุว่าผู้เรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ก็ย่อมไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่5376/2560(ป) การที่จำเลยยอมชำระดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดให้แก่ โจทก์ซึ่งตกเป็นโมฆะเป็นการชำระหนี้ฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายตามมาตรา 411 จำเลยหาอาจจะเรียกร้องให้คืนเงินดอกเบี้ยที่ชำระได้ไม่โจทก์ในฐานะผู้ให้กู้เป็นฝ่ายเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราจากจำเลย เมื่อข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะแล้วและจำเลยไม่อาจเรียกร้องให้คืนเงินดอกเบี้ยได้ โจทก์ก็ย่อมไม่มีสิทธิได้ดอกเบี้ยดังกล่าวด้วย ต้องนำดอกเบี้ยที่จำเลยชำระไปหักเงินด้นตามหนังสือสัญญากู้เงิน
ที่ประชุมใหญ่ วินิจฉัยไว้ตอนหนึ่งว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน จำเลยชำระดอกเบี้ยเดือนละ 2.500 บาทให้โจทก์เป็นเวลา 3 เดือนเป็นเงิน 7,500บาท ดอกเบี้ยที่จำเลยชำระให้โจทก์เกิดจากการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด เป็นการฝ่าฝืนพ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 ข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยย่อมตกเป็นโมฆะ การที่จำเลยยอมชำระดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ถือได้ว่าเป็นการชำระหนี้ฝ่าฝืนข้อห้าม ตามป.พ.พ. มาตรา 411 หาอาจเรียกร้องให้คืนดอกเบี้ยที่ชำระได้ไม่
ในข้อนี้ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า โจทก์ในฐานะผู้ให้กู้เป็นฝ่ายเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด เมื่อข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยเป็นโมฆะแล้วและจำเลยไม่อาจเรียกคืนดอกเบี้ยที่ชำระฝ่าฝืนกฎหมายแล้ว โจทก์ก็ย่อมไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยดังกล่าวด้วย ต้องนำดอกเบี้ยที่จำเลยชำระแล้ว 7,500 บาทไปหักเงินต้น
ข้อตกลงที่เกินอัตราดอกเบี้ยตกตามกฎหมายเป็นโมฆะ เจ้าหน้ีไม่อาจเรียกร้องให้คืนเงินดอกเบี้ยเกินอัตราได้ เจ้าหนี้ก็ย่อมไม่มีสิทธิได้ดอกเบี้ยดังกล่าวด้วย ส่วนดอกเบี้ยที่เกินอัตราเรียกคืนฐานลาภมิควรไม่ได้ แต่นำไปหักต้นเงินได้ รายละเอียดตามคำพิพากษาฎีกาดังต่อไปนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่2131/2560 โจทก์คิดดอกเบี้ยจากเงินที่ให้จำเลยกู้ยืมในอัตราร้อยละ 15.6 ต่อปี ดอกเบี้ยจึงตกเป็นโมฆะ ถือไม่ได้ว่าจำเลยชำระหนี้โดยจงใจฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือเป็นการกระทำอันใดตามอำเภอใจเสมือนหนึ่งว่าเพื่อชำระหนี้โดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันตามกฎหมายที่ต้องชำระตามมาตรา 407 โจทก์ไม่มีสิทธิได้ดอกเบี้ยก่อนผิดนัดและไม่อาจนำเงินที่จำเลยชำระไปหักออกจากดอกเบี้ย จึงต้องนำเงินไปชำระต้นเงินทั้งหมด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6237/2561 โจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดมาจากบริษัท ส เพื่อเป็นหลักประกันการชำระหนี้เงินกู้ยืม 6,000,000 บาท ของจำเลย โดยจำเลยจะชำระหนี้คืนโจทก์โดยซื้อหรือนำบุคคลภายนอกมา ซื้อห้องชุดคืนจากโจทก์ในราคา 6,270,000 บาท ภายใน 6 เดือน โจทก์คิดดอกเบี้ยล่วงหน้าในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี เมื่อข้อตกลงที่จำเลยจะชำระค่าตอบแทนตลอดจนค่าเสียหายและดอกเบี้ยตามสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดซึ่งรวมกันแล้วเกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยจึงเกินอัตรา ที่ พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราฯ มาตรา 3 ประกอบ ป.พ.พ. มาตรา 654 กำหนดไว้ ดอกเบี้ย จำนวน 270,000 บาท จึงตกเป็นโมฆะ การที่จำเลยยอมชำระดอกเบี้ยเกินอัตราแก่โจทก์ตลอดมาจึงเป็นการฝ่าปีนข้อห้ามตามกฎหมายตามมาตรา 411 จำเลยหาอาจจะเรียกร้องให้คืนเงินดอกเบี้ยได้ไม่ แต่โจทก์ในฐานะผู้ให้กู้เป็นฝ่ายเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราจากจำเลย โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ย ดังกล่าวด้วย คงมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่เวลาที่จำเลยผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ เมื่อนำเงินที่จำเลยชำระแก่โจทก์ไปหักชำระดอกเบี้ยผิดนัด


