กฎหมายยอมให้ตกลงดอกเบี้ยกันได้ตามหลักเสรีภาพในการทำสัญญากับอิสระทางแพ่ง ดังนั้น ถ้าเจ้าหนี้เรียกดอกเบี้ยผิดนัดได้สูงกว่าที่กฎหมายกำหนดโดยอาศัยเหตุอันชอบด้วยกฎหมายก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามที่ตกลงกันในสัญญา ดังนั้นถ้าข้อตกลงมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดเอาไว้ มาตรา 224 ก็จะไม่มีผลบังคับใช้ ยกเว้นกรณีที่ไม่ได้ระบุอัตราดอกเบี้ยไว้ แต่หากมีการกำหนดไว้สูงเกินส่วนศาลก็จะเข้ามาแทรกแซงซึ่งอยู่ที่ดุลพินิจแต่ละศาลโดยอาจจะมองว่าเป็นเบี้ยปรับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2489/2536 สัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทระบุว่ากรรมสิทธิ์จะตกแก่ผู้ซื้อต่อเมื่อชำระราคาเป็นงวด ๆ ตามที่กำหนดไว้ครบถ้วนแล้ว จึงเป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไขกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทยังไม่โอนเป็นของผู้ซื้อจนกว่าจะชำระราคาครบถ้วนตามงวด เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระราคาตามงวดโจทก์ได้เข้าครอบครองรถยนต์พิพาทนำมาขายทอดตลาด ขายแล้วได้เงินไม่ครบโจทก์จึงเรียกเงินราคาค่ารถยนต์ที่ยังขาดอยู่จากจำเลยที่ 1 ตามที่กำหนดไว้ในสัญญา ดังนี้เงินจำนวนดังกล่าวไม่มีข้อสัญญาข้อใดกำหนดให้ถือเป็นค่าเสียหาย และจำนวนเงินนั้นก็คือเงินราคารถยนต์ตามสัญญาซื้อขายนั่นเอง จึงจะถือเป็นเบี้ยปรับที่กำหนดไว้ล่วงหน้าและสูงเกินไปไม่ได้ สัญญาระบุว่าในกรณีที่ผู้ซื้อผิดนัดไม่ชำระเงินงวดต่าง ๆ ตามกำหนดที่ระบุไว้ในสัญญาหรือผิดนัดไม่ชำระหนี้ใด ๆ ในสัญญา ผู้ซื้อยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ขายอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ดังนี้เงินราคารถยนต์ที่ขาดก็คือเงินต่าง ๆ ที่กำหนดในสัญญานั้นเอง จำเลยที่ 1ต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีตามสัญญาไม่ใช่ร้อยละ 7.5ต่อปี
อย่างไรก็ตามในกรณีสัญญากู้ยืมเงินมีมาตรา 654 ส่วนหนี้เงินประเภทอื่น หากตกลงกันไว้แล้วก็ต้องใช้ตามที่ตกลงกัน แต่ถ้ามากเกินไป ศาลจะตีความให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินส่วนเป็นเบี้ยปรับซึ่งศาลสามารถปรับลดได้ตามมาตรา 383 เป็นแนวทางที่ศาลฎีกาได้เคยวางหลักไว้ในหลายคดีด้วยกัน ตัวอย่างเช่น
ฎีกาที่ 4208/2552 เบี้ยปรับที่ศาลลดได้ตาม ปพพ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง ต้องเป็นเบี้ยปรับอันเกิดจากการที่คู่สัญญาที่เป็นเจ้าหนี้ทำสัญญาไว้ต่อกันว่าลูกหนี้จะใช้เงินจำนวนหนึ่งเป็นเบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควรดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 378 – 381 แต่เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ได้รับอนุญาตใช้น้ำบาดาลจากโจทก์ต้องรับผิดชำระค่าใช้น้ำบาดาลเพิ่มขึ้นเพราะฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงฉบับที่ 6 และที่ 7 ซึ่งออกตามความให้ พรบ.น้ำบาดาล มิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าในลักษณะเบี้ยปรับตาม ปพพ. ศาลจึงไม่อาจปรับลดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6137/2551 โจทก์กับจำเลยทำสัญญาจ้างก่อสร้างบ้านพักไว้มีข้อความว่า หากโจทก์ก่อสร้างผิดไปจากแบบแปลนตามสัญญา จำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและไม่ชำระค่าจ้างส่วนที่ค้างให้แก่โจทก์ได้ มีผลเป็นการที่โจทก์ยอมสละค่าแห่งการงานที่โจทก์เสียไปในการก่อสร้างบ้านพักงวดที่สามให้แก่จำเลยเพื่อเป็นค่าสินไหมทดแทนในการที่โจทก์ไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้อง ค่าใช้จ่ายดังกล่าวย่อมเป็นเบี้ยปรับซึ่งจำเลยมีสิทธิได้รับตาม ปพพ. มาตรา 381
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1888/2551 สัญญากู้เงินกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้แน่นอนแล้วจำนวนหนึ่งมีระยะเวลาที่แน่นอนชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ยังให้สิทธิผู้ให้กู้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นได้ใหม่เมื่อใดก็ได้เมื่อผู้กู้ผิดนัด มีลักษณะเป็นค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนความเสียหายซึ่งคู่สัญญากำหนดกันไว้ล่วงหน้าเมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควร จึงเป็นเบี้ยปรับตาม ปพพ. มาตรา 379 เมื่อศาลเห็นว่าสูงเกินส่วนย่อมมีอำนาจลดลงได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1888/2551 ศาลมองว่าคดีนี้มีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยปกติไว้แล้ว และยังมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยปกติ พิจารณาแล้วเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นสูงเกินสมควรข้อตกลงเข้าลักษณะเบี้ยปรับ เป็นข้อตกลงในเรื่องการลงโทษลูกหนี้ ซึ่งศาลตีความว่าเป็นเบี้ยปรับเพื่อใช้อำนาจตามมาตรา 383 ในการปรับลดลงได้ตามที่เห็นสมควร